การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง
กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแห่งที่
2 ของประเทศไทย โดยเป็นศูนย์กลางในด้านต่างๆถึง 417 ปี
เป็นเมืองหลวงที่อายุยาวที่สุดของไทย
โดยมีกษัตริย์ทั้งสิ้น
33 พระองค์ จาก 5 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์สุโขทัย
ราชวงศ์ปราสาททองและราชวงศ์บ้านพลูหลวง
เป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองทั้งด้านการทหาร
ด้านการทูตและด้านเศรษฐกิจที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยนั้น
มีการเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าถึงสองครั้ง ครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2112
โดยพระเจ้าบุเรงนอง
และครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 โดยพระเจ้ามังระ
เหตุการณ์ก่อนเสียกรุงครั้งที่
1
ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
กษัตริย์พระองค์ที่ 15 ของอาณาจักรอยุธยา ได้ทำสงครามกับพระเจ้าบุเรงนองของพม่า
คือสงครามช้างเผือก
ผลปรากฏว่าอยุธยาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อยุธยาจำต้องเสียช้างเผือกไปถึง 4 เชือก
ให้พระราเมศวร
พระราชโอรสองค์โตในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิและสมเด็จพระสุริโยทัย, พระสุนทรสงครามและพระยาจักรีไปเป็นตัวประกัน
ต่อมา
สมเด็จพระไชยเชษฐาแห่งอาณาจักรล้านช้าง ได้ส่งสาส์นมาสู่ขอพระเทพกษัตรี
พระธิดาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิไป
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักร
จึงได้พระราชทานไป แต่ระหว่างทางกลับถูกพม่าชิงตัวไป
เพราะพระมหาธรรมราชาได้แจ้งข่าวแก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง
ในปี พ.ศ. 2111 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสด็จสวรรคต
ในช่วงของสงครามครั้งนี้
สมเด็จพระมหินทราธิราชจึงเสด็จขึ้นครองบ้านเมืองในปกครองของกรุงศรีอยุธยา
แม้กระทั่งเมืองพิษณุโลกสองแคว
แต่ก็ยังไม่สามารถตีกรุงศรีอยุธยาให้แตกได้โดยเร็ว
สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง
ได้เสด็จยกมาช่วย
แต่ก็ถูกพม่าตีแตกพ่ายที่สระบุรี พระยาจักรี
เป็นผู้เห็นแก่ทรัพย์ที่พระเจ้าบุเรงนองประทานให้ผู้ที่คิดแผนตีกรุงศรีอยุธยาลงได้
จึงเสนอตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ในพระนคร
ทำทีเป็นว่าลอบหนีมาจากกรุงหงสาวดีได้ พระมหินทราธิราชไว้พระทัยต่อพระยาจักรี
จึงทรงให้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่
พระยาจักรีจึงวางอุบายให้ทหารที่มีความสามารถไปประจำกองที่ไม่มีความสำคัญ
และให้ทหารที่ไร้ฝีมือมาเป็นทัพหน้ารบกับกองทัพของพระเจ้าบุเรงนอง
แม่ทัพนายกองที่พอจะมีฝีมือก็หาเรื่องใส่ความให้ต้องโทษขังหรือเฆี่ยน
เพียงไม่นานนัก
กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พม่าเป็นครั้งแรก
ต่อมา
พระยาจักรีกลับไปเข้าเฝ้าพระเจ้าบุเรงนอง
พระองค์ทรงมีพระราชโองการให้ประหารชีวิตพระยาจักรี เนื่องจากการเป็นกบฎ
กล่าวคือ
พระยาจักรีนั้น ทำได้แม้กระทั่งทรยศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง แล้วต่อไปในภายภาคหน้าก็คงจะสามารถทรยศกรุงหงสาวดีได้เช่นกัน
โดยตอกมือไว้กับหีบของรางวัลที่บุเรงนองประทานให้แล้วจับถ่วงน้ำ
เหตุการณ์หลังเสียกรุงครั้งที่
1
สมเด็จพระมหินทราธิราช
ถูกพาตัวไปที่กรุงหงสาวดีแต่ประชวรสวรรคตระหว่างทางไปกรุงหงสาวดี
โดยพระเจ้าบุเรงนองตั้งให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ของอยุธยา
ซึ่งมาจากราชวงศ์สุโขทัย
แล้วนำพระราชโอรสของสมเด็จพระมหาธรรมราชาไปเลี้ยงดู
ซึ่งพระราชโอรสของสมเด็จพระมหาธรรมราชาคนนั้นคือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ซึ่งต่อมาในภายหลังเป็นผู้นำที่ทำสงครามกับพม่านำอิสรภาพมาสู่สยาม
การประกาศอิสรภาพ
ในปี พ.ศ. 2127
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง
พ้นจากการเป็นประเทศราชของพม่าตั้งแต่บัดนั้น
(รวมเวลาที่เป็นเมืองขึ้นของพม่า
15 ปี) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น3ปีหลังจากพระเจ้าบุเรงนองประชวรและสวรรคตลงในปีพ.ศ.
2124
และมังไชยสิงห์
ราชบุตรองค์โตของพระเจ้าบุเรงนองที่รัชทายาทขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้านันทบุเรงแต่พระเจ้าอังวะ
พระญาติประกาศแข็งเมืองพระเจ้านันทบุเรงจึงบัญชาให้
พระเจ้าแปร พระเจ้าตองอู (พระสังกทัต)
พระเจ้าเชียงใหม่
(อโนรธามังสอพระราชอนุชาของพระเจ้านันทบุเรง) พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต
(พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช)
และสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชยกกองทัพไปตีกรุงอังวะพระเจ้านันทบุเรงจึงทรงมีรับสั่งให้พระมหาอุปราชา
ที่ทรงโปรดให้รักษากรุงฯว่าถ้าสมเด็จพระนเรศวรทรงยกกองทัพมาถึงหงสาวดีให้ฆ่าเสีย
(สาเหตุที่ทรงยกทัพมาแทนเนื่องจากพระมหาธรรมราชาทรงพระชราและพระนเรศวรทรงทูลขอออกรบเอง)
ทุกเมืองยกกองทัพไปหมดแล้วแต่พระนเรศวรทรงเห็นว่าอยุธยาถึงเวลาที่จะเป็นเอกราชเสียทีจึงทรงยาตราทัพออกจากเมืองพิษณุโลกไปอย่างช้าๆ
ถึงเมืองแครง
โดยพระองค์ทรงหวังว่าถ้าพระเจ้าหงสาวดีแพ้ก็จะโจมตีกรุงหงสาวดีซำเติมหากทัพหงสาฯชนะก็จะกวาดต้อนครัวไทย
ที่อยู่ที่ชายแดนพม่ามาไว้เป็นกำลังของพระองค์สืบไปส่วนพระมหาอุปราชา
ทรงทราบว่าสมเด็จพระนเรศวรยกกองทัพมา
จึงโปรดให้ขุนนางมอญสองคนคือพระยาเกียรติ์และพระยารามศิษย์พระอาจารย์เดียวกันกับพระนเรศวรคือพระมหาเถรคันฉ่องออกมาต้อนรับ
โดยทรงสั่งว่าเมื่อสมเด็จพระนเรศวรมาถึงหงสาวดีพระองค์
(พระมหาอุปราชา)
จะเข้าโจมตีจากข้างหน้าและให้พระยาอย่างเปิดเผยพระองค์จึงเรียกประชุม
แม่ทัพนายกองทั้งหมดและนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่องและพระสงฆ์ในวัดนั้นมาเป็นประธาน
และทรงเล่าเรื่องที่พระเจ้านันทบุเรงคิดปองร้ายพระองค์แล้วพระองค์จึง
หลั่งน้ำจากสุวรรณภิงคาร (น้ำเต้าทอง)
ลงสู่พื้นพสุธาและประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินและผู้คนในที่นั้นว่า
"ตั้งแต่วันนี้กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดีมิได้เป็นมิตรดังแต่ก่อนสืบไป"
เมื่อวันที่ 15
พฤษภาคม พ.ศ. 2127
หลังประกาศเสร็จแล้วทรงตรัสถามชาวเมืองมอญว่าจะมาเข้ากับฝ่ายไทยไหมชาวมอญทั้งหลาย
ก็พร้อมใจกันเข้ากับฝ่ายไทยและทรงจัดทัพบุกตรงไปกรุงหงสาวดีแต่พอข้ามแม่นำสะโตงไปม้าเร็วก็มารายงานพระองค์
ว่าพระเจ้าหงสาวดีได้ชัยชนะเหนือพระเจ้าอังวะและยกทัพกลับจวนถึงหงสาวดีอยู่แล้วเห็นไม่
สมควรจึงทรงกวาดต้อนครัวไทยครัวมอญกลับอยุธยาพร้อมพระองค์พระมหาอุปราชา
เมื่อทรงทราบว่าพระยามอญทั้งสองไปสวามิภักดิ์กับสมเด็จพระนเรศวรก็ทรงพิโรธ
และทราบว่าพระนเรศวรทรงถอยทัพกลับ
จึงทรงบัญชาให้สุรกรรมาคุมทัพมาสกัดแต่พระนเรศวรทรงข้ามแม่นำสะโตงไปแล้วทั้งสองทัพเผชิญหน้ากัน
แต่แม่น้ำสะโตงกว้างทั้งสองจึงยิงไม่ถึงกันพระนเรศวร
ทรงมีพระแสงปืนอยู่กระบอกหนึ่งมีความยาวเก้าคืบยิงถูกสุรกรรมาแม่ทัพพม่า
ตายคาคอช้างทหารเห็นแม่ทัพตายก็เสียขวัญถอยทัพกลับไปรายงานพระมหาอุปราชาให้ทรงทราบ
ส่วนพระนเรศวรทรงเดินทัพกลับกรุงศรีอยุธยาโดยสวัสดิภาพพระแสงปืนกระบอกนั้น
มีชื่อว่า "พระแสงปืนข้ามแม่นำสะโตง"
เมื่อทรงถึงอยุธยาก็ทรงเข้าเฝ้าพระราชบิดารายงานเรื่อง
ทั้งหมดให้ทรงทราบสมเด็จพระมหาธรรมราชาจึงทรงปูนบำเหน็จมอญที่สวามิภักดิ์
และทรงแต่งตั้งพระมหาเถรคันฉ่องเป็นที่สังฆราชส่วนพระยาเกียรติและพระยาราม
ให้มีตำแหน่งได้พระราชทานพานทองคุมกองทัพมอญ
ที่สวามิภักดิ์พระราชทานบ้านทีอยู่อาศัยในพระนคร
พร้อมกันนั้นได้ทรงมอบพระราชอาญาสิทธิ์แก่สมเด็จพระนเรศวรในการบัญชาการรบ
เพื่อที่จะตระเตรียมกำลังคนและอาวุธไว้รับมือพม่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น